วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

นักเรียนกลุ่มสนใจป.5

แสดงตัวกันหน่อย

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

มาดูราคาของหายากกัน ^__^


อันดับ 1


อันดับ 2


อันดับ 3


อันดับ 4


อันดับ 5



อันดับ 6


อันดับ 7

อันดับ 8


อันดับ 9


อันดับ 10

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552

บทความทางวิชาการ เรื่องสอนเด็กให้คิดเป็น

สอนเด็กๆ ให้คิดเป็น
วันนี้เรามีขั้นตอนการพัฒนาความคิดแบบง่ายๆ เพื่อนำไปพัฒนาการสอนในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนของเรากลายเป็นคนที่คิดเป็น รู้จักใช้ความคิดมากขึ้น ไม่ใช่นั่งเรียนแบบท่องจำไปวันๆ ลองไปดูกันนะคะว่า มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ?

1. คิดกำหนดปัญหาให้ชัดเจน
การกำหนดปัญหาให้ชัดเจนเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้กระบวนการคิดเพื่อการแก้ปัญหาในลำดับต่อมาเป็นไปอย่างถูกทิศทาง เป็นการกำหนดเป้าหมายของการคิดที่ชัดเจน หลายคนเรียกขั้นตอนนี้ว่า การคิดถูกทางไอน์สไตน์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทั้งหลายต่างเห็นสอดคล้องกันมานานแล้วว่า การมองเห็นปัญหาสำคัญกว่าการแก้ปัญหา ในห้องเรียนของเรามีปัญหาอยู่ตั้งเยอะ ลองให้นักเรียนระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนดูเถอะ

2. คิดหาคำตอบที่หลากหลาย เมื่อกำหนดประเด็นปัญหาชัดเจนแล้ว ให้นักเรียนคิดหาคำตอบ หรือแนวทางของคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มาหลายๆ คำตอบ หรือหลายๆ แนวทางขั้นตอนนี้ต้องพยายามให้คิดหาคำตอบให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยไม่สกัดกั้นความคิด ไม่ว่าจะคิดว่าคำตอบที่นักเรียนตอบนั้นดูเหมือนจะไม่เข้าท่า ไม่รีบชิงบอกนักเรียนว่าเป็นคำตอบที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ยกเว้นคำตอบที่เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่สอดคล้องกับประเด็นปัญหานั้นๆในการฝึกความคิดของนักเรียน ครูอาจจะเริ่มต้นให้นักเรียนคิดในขั้นตอนที่ 2 นี้เลยก็ได้ โดยครูกำหนดการแก้ปัญหาแล้วให้นักเรียนคิดหาคำตอบที่หลากหลาย คำถามที่ครูเตรียมมา ควรเป็นคำถามที่น่าความสนใจ เป็นคำถามที่ท้าทาย หรือคำถามที่แปลก ชนิดคาดไม่ถึง ให้นักเรียนได้ฝึกความคิดแบบหลากหลาย เช่น ถามว่ารถยนต์กับช้อน มีอะไรที่เหมือนกันบ้างนักเรียนคงจะงง เพราะรถยนต์กับช้อนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่เมื่อเริ่มต้นคิด ก็พบว่าทั้ง 2 สิ่งมีส่วนที่เหมือนกัน เช่น ทำด้วยโลหะเหมือนกัน เคาะแล้วมีเสียงเหมือนกัน ฯลฯหรือคำถามให้นักเรียนคิดคาดการณ์ภายหลังว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ถ้าโลกขาดก๊าซออกซิเจนจะเป็นอย่างไร นักเรียนก็ควรฝึกใช้ความคิดอย่างอิสระ เพื่อคาดคะเนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนโลก ซึ่งจะถูกหรือไม่ ยังไม่ควรรีบด่วนสรุป แต่จะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนคิดหาคำตอบให้ได้มากที่สุดกระบวนการฝึกในขั้นที่ 2 นี้ เป็นการฝึกให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ นั่นเองในคำตอบมากมายหลายนั้นอาจจะมีบางคำตอบใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่นำเป็นความคิดริเริ่ม แปลกใหม่

3. คิดพิจารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ และสมเหตุสมผล เพื่อดูว่าในหลายๆ คำตอบจากขั้นตอนที่ 2 นั้น คำตอบใดน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด คำตอบใดน่าจะตัดทิ้งไปได้ การคิดในขั้นนี้ จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์เดิม หรือความรู้เดิม หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากที่สุด เพื่อประกอบการพิจารณาอย่างสมเหตุสมผลข้อมูลที่ได้มา จะต้องเป็นข้อมูลที่ทั้งกว้าง ทั้งลึก มีความชัดเจน ถูกต้อง เชื่อถือได้ และเพียงพอที่จะใช้เป็นพื้นฐานประกอบการตัดสินใจการคิดในขั้นนี้ เรียกว่าเป็นการคิดแบบวิจารณญาณ (Critical Thinking)ดังนั้นในคำตอบที่หลากหลายจากขั้นตอนที่ 2 เราสามารถใช้ความคิดวิจารณญาณ คัดเลือกคำตอบเหล่านั้นได้ และคำตอบที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือเป็นไปได้น้อย

4. ตัดสินใจ เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราจะต้องเลือกว่าจะใช้คำตอบหรือแนวทางใดในการแก้ปัญหาบางครั้งอาจต้องมีการทดลองเพื่อพิสูจน์ (ถ้าหากเราเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่เหมาะสม ก็ให้เรามาเลือกดูใหม่ อย่าเพิ่งท้อใจ)

กระบวนการทั้งหมดนี้ น่าจะช่วยให้นักเรียนเป็นคนช่างคิดมากขึ้น การคิดในแต่ละขั้นตอนล้วนแต่มีคุณค่าต่อตนเองและต่อสังคม โดยเฉพาะ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ ส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ และความคิดวิจารณญาณ ของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพ สังคม เศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

บทความที่สนใจ เรื่องการทำเวปไซต์ให้น่าสนใจ




จากคำถามที่ว่า "เราจะนำมัลติมีเดียมาช่วยพัฒนาเว็บไซท์ได้อย่างไร" เว็บไซท์เป็นส่วนหนึ่งของมัลติมีเดียอยู่แล้ว มัลติมีเดียไม่ได้มีความหมายมากกว่าแค่ตัว "มีเดีย" หรือรูป เสียง ภาพเคลื่อนไหว เท่านั้น อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ เข้าใจกัน แต่ยังรวมถึงวิธีการเก็บรักษา การเรียกค้นและการนำเสนอด้วย ดังนั้นเว็บไซท์ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการนำเสนอชนิดหนึ่ง เว็บไซท์จึงรวมเป็นส่วนประกอบของมัลติมีเดียด้วย แล้วทำอย่างไรเว็บไซท์ที่มีข้อความเป็นส่วนใหญ่ จะมีความน่าสนใจ เพิ่มขึ้นด้วยเทคโนโลยีของมัลติมีเดียในปัจจุบัน"

องค์ประกอบของเว็บไซท์ที่น่าสนใจ
พวกเราลองเข้าไปดูเว็บไซท์ประเภท "ชื่อดัง" "ยักษ์ใหญ่" หรือ "ทุนหนา" แล้ว เราจะพบว่า องค์ประกอบสู่ความสำเร็จ ขั้นพื้นฐานซึ่งจำเป็นต้องมีจะเหมือนกัน ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 2 หัวข้อย่อยคือ
1. ความสมบูรณ์ของเว็บไซท์
2. วิธีการนำเสนอข้อมูล

1. ความสมบูรณ์ของเว็บไซท์
ก่อนอื่น ปัญหาที่หนึ่งสำหรับเว็บมาสเตอร์คือ "ผู้ใช้จะได้ประโยชน์อันใดในการเข้ามาเยี่ยมเว็บของเรา" จึงจะนำมาสู่ปัญหา ที่สองคือ "เรามีสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการอยู่หรือเปล่า" สองคำถามนี้เป็นสองคำถามหลัก ก่อนที่เราจะต้องไปนึกถึงว่าจะใช้ระบบ ปฏิบัติการเป็น Linux หรือ Windows 2000 หรือจะใช้อะไรดีระหว่าง Dreamweaver หรือ FrontPage ซึ่งน่าจะเป็นประเด็น เกือบจะท้าย ๆ แล้วสำหรับการสร้างเว็บไซท์ แต่ผู้เริ่มต้นส่วนใหญ่มักพิจารณาส่วนนี้เป็นประเด็นแรก

เว็บไซท์ที่สมบูรณ์ประกอบด้วยสองส่วนหลักคือ ข้อมูล และเครื่องมือ โดยทั่วไปการอ่านข้อมูลของผู้ใช้มีสองลักษณะ คือผู้ใช้อ่านข้อมูลที่เขาต้องการอ่าน กับผู้ใช้อ่านข้อมูลที่เราต้องการให้อ่าน การอ่านของผู้ใช้แบบแรกเป็นการที่ผู้ใช้เป็น ผู้สืบค้นข้อมูลเอง เพื่อจะได้ข้อมูลที่ต้องการนั้นไปประกอบการงานอื่น ๆ เช่น การสืบค้นข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัด ต่าง ๆ ส่วนแบบที่สองเป็นการเสนอเชิงประชาสัมพันธ์หรือข่าว เช่น การประกาศ การวางตลาดของสินค้าใหม่ ทั้งสองแบบ ของการอ่านมีลักษณะสุดท้ายเหมือนกันคือผู้ใช้ได้อ่าน
ขอยกตัวอย่างชนิดของข้อมูลทั้งสองอย่างข้างต้นด้วยเว็บไซท์ของบริษัทนำเที่ยว ข้อมูลที่ผู้ใช้อ่านอาจเป็นรายละเอียด การท่องเที่ยวพอสังเขป ส่วนข้อมูลที่เขาอยากให้ผู้ใช้อ่านคือโปรแกรมการท่องเที่ยวและรายละเอียดอื่น ๆ ของบริษัท ถามว่าถ้ามองในกรณีนี้ความพร้อมของข้อมูลควรเป็นอย่างไรถึงจะเรียกว่าพร้อม ในกรณีนี้เราคงไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก เพียงแนะนำสถานที่ต่าง ๆ พอสังเขปก็พอ การใส่ข้อมูลโดยละเอียดอาจนำไปสู่ "ความไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น" ในสถานที่ท้องเที่ยวที่เรานำเสนอ และอาจพาลไม่อยากเที่ยว แต่เราควรเสนอความพร้อม ในการบริการของบริษัทของเราว่าเป็นบริษัทที่มั่นคง ดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลานานมีบริการต่าง ๆ ครบวงจร มีโปรแกรม ในการท่องเที่ยวให้เลือกมากมาย เพราะผู้ใช้บริการทัวร์คงไม่มีรายใดที่ต้องการให้บริษัททัวร์เอาไปปล่อยเกาะ
สิ่งที่ต้องการกล่าวถึงในที่นี้ก็คือข้อมูลที่พร้อมจะต้องเป็นข้อมูลที่นำเสนอความพร้อมของ "สินค้า" และ "บริการ" ของ บริษัท ไม่ว่าจะทำกิจการใด ๆ ความพร้อมของข้อมูลจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่เป็น ข้อมูลที่พร้อมแสดงศักยภาพของสินค้าของบริษัทเรามากกว่า
ทีนี้ผู้อ่านคงนึกถึงเว็บไซท์ไม่มีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเองจะทำอย่างไรคำตอบก็คือ ไม่มีเว็บไซท์ใดที่ไม่มีผลิตภัณฑ์เป็น ของตนเอง แม้กระทั่งเว็บไซท์บุคคล ผลิตภัณฑ์ในที่นี้รวมเรื่องของบริการเข้าไปด้วย เว็บไซท์อย่าง Yahoo ซึ่งไม่มีสินค้า ยี่ห้อ Yahoo มาวางตลาด แต่เขาขายบริการในการทำ Catalog เพื่อให้บริษัทอื่น ๆ มาลงโฆษณา เว็บไซท์ข้อมูล ส่วนตัวของคุณ สินค้าก็คือตัวคุณเองนั่นแหละ (ถ้าไม่ใช้ โฆษณาทำไม)
จากสองประโยคคำถามข้างต้นที่เราใช้ในการตั้งสมมติฐานที่ว่า "ผู้ใช้จะได้ประโยชน์อะไร" เราคงต้องการมาที่ข้อสรุป นิดนึงโดยการเปลี่ยนประโยคคำถามข้างต้นเสียใหม่เป็น "ผู้ใช้ได้ประโยชน์อะไรจากเว็บไซท์ของเรา" จากนั้นคิดต่อไป เรื่อย ๆ เราก็จะได้ข้อสรุปที่เราต้องการก็คือข้อมูลจะพร้อมต้องมีอะไรบ้างนั่นเอง ปรัชญาการคิดแบบนี้จะนำเราไปสู่ การมีข้อมูลที่พร้อมต่อการนำเสนอของเว็บไซท์ของเรา อย่างไรก็ตาม การใคร่ครวญคิดไม่ใช่เรื่องง่าย และใช้เวลา ขอแนะนำให้ไปดูเว็บไซท์ที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันกับของเราแล้วนำมาพินิจพิเคราะห์ดูว่า ข้อมูลที่เรามีเหมาะสมหรือไม่ เมื่อดูจากหลาย ๆ ที่ก็นำมาประมวลดูว่าเว็บของเรามีหรือไม่มีอะไร และอะไรบ้างที่ควรจะเพิ่มเติม สุดท้ายเว็บไซท์ ของคุณก็จะเป็นเว็บที่น่าอ่าน และก็จะได้ไม่ต้องติดป้าย "Under Construction" อันน่าเบื่อไว้ด้วย
ส่วนที่สองของความพร้อมของเว็บไซท์คือ "เครื่องมือ" ที่มีให้ หลังจากที่เรามีข้อมูลแล้ว เราก็เหมือนมีหนังสือที่ไม่มี เลขหน้า ไม่มีสารบัญ ทำให้ยากต่อการเข้าถึงข้อมูล สิ่งที่ควรมีอย่างยิ่งในเว็บไซท์ก็คือ การนำไปสู่ข้อมูลอันประกอบ ด้วยสารบัญซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของเมนูหรือแคตาล็อก หรือแบบอื่น ๆ ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านหัวข้อหลัก ไปยังหัวข้อย่อย ๆ หรือตัวสืบค้น (Search Engine) สำหรับสืบค้นข้อมูลตามคำเรียกค้นของผู้ใช้ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเว็บไซท์ที่มีข้อมูลขนาดใหญ่มาก ทั้งสองตัวนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซท์
นอกจากนี้เครื่องมือตัวอื่น ๆ ที่มีความสำคัญรอง ๆ ลงไปหรืออาจจำเป็นสำหรับบางเว็บไซท์ที่เราควรพิจารณาได้แก่ กระดานข่าว (Web board) กระดานข่าวนี้มีทั้งประโยชน์และปัญหา ประโยชน์คือเป็นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกขององค์กรนั้น ๆ ปัญหาคือข้อมูลบนเว็บบอร์ดมีความเชื่อถือได้น้อย เนื่องจากยากที่จะระบุได้ว่าใครเป็นผู้ใช้ ข้อความบนกระดาน ขอเสนอว่าควรมี 2 กระดาน โดยกระดานหนึ่งเป็นกระดานอิสระ อีกกระดานเป็นกระดานที่มีการกรอง ข้อความ (กรองนะ ไม่ใช่เซ็นเซอร์) อย่างที่สองที่ควรพิจารณาคือ Web Mail คือเว็บแบบเดียวกับ Hotmail แต่ทำ เฉพาะองค์กรของเราเท่านั้น ข้อดีคือเราสามารถควบคุมความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานให้ดี ขึ้น (จะกล่าวถึงเมื่อมีโอกาส ) อย่างที่สามคือการรับสมัคร mailing list เพื่อรับสมัครสมาชิกเพื่อแจ้งข่าวสารความ เคลื่อนไหวเฉพาะเรื่อง อย่างสุดท้ายคือ Download เนื่องจากผู้ใช้ชอบโหลดโปรแกรมฟรีหรือโปรแกรมที่จำเป็น ของหน่วยงานไปใช้ ก็น่าจะมีบางอย่างที่เราให้ผู้ใช้ของเรารู้สึกว่าเว็บของเราเป็นมิตรที่ดี มีของฟรีได้ใช้ สังเกตดูซิ เว็บไซท์ไหน ๆ ก็มีให้โหลดทั้งนั้น
สรุปกว้าง ๆ ก็คือ เมื่อจะต้องสร้างเวํบ ต้องถามและตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ได้ประโยชน์อันใดแก่องค์กรของเรา จากนั้น ก็หาข้อมูลและเครื่องมือที่เหมาะสมมาทำให้เว็บไซท์ของเราสมบูรณ์

2. วิธีการนำเสนอข้อมูล
การนำเสนอข้อมูลบนเว็บนี้ที่จริงเป็นเรื่องต่อเนื่องมาจากข้อแรกที่จะหาข้อมูลที่เหมาะสมมาใส่ไว้บนเว็บ อย่างแรกที่สุด คือสิ่งที่เว็บในเมืองไทยนำไปใช้น้อยไปหน่อย นั่นคือ Hypertext คือจริง ๆ การใช้เว็บนี้ก็เป็น Hypertext อยู่แล้ว แต่ เราใช้น้อยเกินไป ขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับข่าวกีฬา สมมติว่าเป็นเรื่องผลการแข่งขันฟุตบอลระหว่างแมนยูกับลิเวอร์พูล ในเนื้อข่าวก็คงมีการเอ่ยชื่อถึง เดวิด เบ็คแฮม ไมเคิล โอเว่น ทีมแมนยู และทีมลิเวอร์พูล ในเนื้อความของข่าว ผู้อ่าน ทั่วไปคงรู้ประวัติของนักเตะชื่อดังทั้งสองเป็นอย่างดี แต่ถ้าในเนื้อข่าวมี Link จากชื่อของนักเตะไปยังโฮมเพจเพิ่มขึ้น หรือถ้าเป็นกีฬาบาสเกตบอล ขอให้ลองเปิดเว็บไซท์ของ NBA (www.nba.com) ซึ่งเป็นเว็บที่จัดได้ว่าเป็นเว็บที่สมบูรณ์ และทันการณ์ในการนำเสนอข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็น "Fact" หรือข้อมูลพื้นฐาน เช่น ประวัตินักกีฬา หรือประวัติทีม ข้อมูลที่เป็นสถิติ เช่น ความสามารถในการทำคะแนนของนักกีฬา และผลการแข่งขัน รวมทั้งข้อมูลที่เป็นสถิติ เช่น ความสามารถในการทำคะแนนของนักกีฬา และผลการแข่งขัน รวมทั้งข้อมูล "on-line" สำหรับรายงานผลการแข่งขัน และสถิติโดยละเอียดของการแข่งขัน ต้องลองดูตัวอย่างช่วงที่มีการแข่งขันนะ จะเป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับเว็บ เกี่ยวกับกีฬา (ข้อมูลการแข่งขันของ NBA มีมากพอที่จะนำมาใช้วางแผนการเล่นได้เป็นอย่างดี โดยมีข่าวเมื่อ 2-3 ปีนี้ว่า มีการใช้เทคนิคของ DataMining มาใช้ในการช่วยวางแผนการเล่นแบบ real-time เช่น กรณีการเลือกตัวผู้เล่นที่เหมาะสม หลังจากดูแล้วว่าผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามมีใครในสนามแข่ง และแต้มคะแนนตามอยู่เท่าไร)
นอกเรื่องไปเยอะ กลับมาเรื่อง Hypertext ดีกว่า หลักการของการทำมีดังนี้

1.การอ้างอิงการ Hypertext จะไม่ทำกับทุกที่ในหน้าเดียวกัน แต่จะทำใส่ลิงก์เฉพาะที่ตำแหน่งแรกเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าในข่าวหนึ่งชิ้นอ้างอิง เดวิด เบ็คแฮม 10 ครั้ง ให้ใส่ลิงก์เฉพาะที่ตำแหน่งแรกที่ปรากฎในข่าวนั้น ที่เดียวพอ
2.ถ้าลิงก์ที่จัดหมู่รวมกันได้ควรจัดหมู่ไว้ด้วย และควรลิงก์ไปหาหมู่ที่จัดตัวอย่างเช่น ลิงก์เข้ามาที่เพจของเบ็คแฮม เพจที่จัดหมู่ก็คือเพจรายชื่อผู้เล่นของทีมแมนยูนั่นเอง ดังนั้นเราก็ควรมีลิงก์ย้อนกลับไปจากเพจของนักกีฬาไปหาสังกัด ด้วย
3."ลิงก์ย้อนกลับ" อันนี้ไม่ใช่ลิงก์ที่มีความหมายเดียวกันปุ่ม "Back" ในเบราเซอร์นะ แค่เป็นลิงก์ย้อนกลับเชิง "อรรถาธิบาย" เช่น เพจของนักกีฬา ลิงก์ย้อนกลับไปก็คือทีมต้นสังกัด และเพจของทีมต้นสังกัดก็จะย้อนกลับไปหาองค์กร จัดการแข่งขัน

นี่ก็คือเล็ก ๆ ในการใช้ Hypertext ก็ทำให้เว็บเราน่าสนใจขึ้น ลองคิดดูนะ ถ้านักข่าวเมืองไทยรายงานข่าวเกี่ยวกับ ประเทศอิสลาเอลกับปาเลสไตน์ ในเนื้อข่าวมีลิงก์มาแสดงว่าประเทศอิสลาเอลและปาเลสไตน์อยู่ตรงไหนของโลก หรือลิงก์ที่แสดงรูปของนายยัสเซอร์ อาราฟัต น่าสนใจกว่าข่าวที่มีตัวอักษรไม่กี่บรรทัดนะ ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า รายละเอียดส่วนนี้ควรจะทำเอง ไม่ใช่ไปหาเว็บคนอื่น เพราะจะเสียลูกค้านะ
ทีนี้ส่วน "ปลีกย่อย" ในการนำเสนอคือ เรื่องที่ทำยากแต่ดูเท่ห์ทั้งหลายคือเรื่องการใช้กราฟิก รูปภาพ ระบบเสียง แสง วิดีโอที่เป็นแบบทั้ง off-line และ on-line ที่พูดว่าปลีกย่อยเพราะส่วนนี้มักจะเป็นส่วนที่ตกแต่งให้ดูงดงาม ขอแนะนำ ว่าอย่าทำบ่อย แต่ควรทำให้เป็นเอกลักษณ์ ยกตัวอย่างเช่น เพจของ Yahoo ก็ใช้กราฟิกนิดเดียว และรูปแบบในเพจแรก เปลี่ยนแปลงจากสมัยก่อนน้อยมาก และจริง ๆ ก็ไม่ค่อยใช้กราฟิกเยอะด้วย (คาดว่าต้องการลดความต้องการของกำลัง จากเครื่อง server) ทีนี้ถ้าใช้กราฟิก ควรใช้นามสกุล JPG และ PNG เท่านั้น เพราะ GIF ต้องเสียเงิน
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่จำเป็นอย่าใช้กราฟิกมาก เพราะนึงถึงว่าลูกค้าเรามีเครื่องเก่า ๆ เยอะแยะ ทำสวยมากแล้วเขาใช้ ไม่สะดวกก็เลยไม่อยากเข้าเว็บของเรา เราก็จะเสียโอกาสขายของเท่านั้น
สุดท้าย off-line และ on-line Stream สำหรับเสียงและภาพยนตร์ เริ่มต้นต้องพิจารณาก่อนว่า จำเป็นต้อง on-line หรือไม่ ถ้าทำรายการวิทยุก็คงจำเป็นต้อง on-line เพราะข้อมูลมาใหม่ตลอดเวลา อย่างเช่นเว็บของ Atime media (www.atimemedia.com) อย่างไรก็ตาม การลงทุนสำหรับเว็บลักษณะนี้สูงมาก เพราะถ้าใช้เครื่องขนาดเล็กอาจจะ สามารถรับสมาชิกฟังรายการพร้อมกันได้จำนวนน้อย
ถ้าเป็นเว็บเกี่ยวกับ Stream เหมือนกันแต่ไม่จำเป็นต้องฟังแบบ on-line เช่น รายการบรรยายธรรมของท่านพุทธทาส หรือหลวงพ่อปัญญา จะฟังแบบ on-line มันแพง เช่น ค่าอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ ฟังไม่กี่ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายเท่ากับซีดี ต้นฉบับแล้ว ลักษณะนี้ควรมีทั้ง on-line และ off-line เพื่อคนไทยที่อยู่ต่างประเทศเขาใช้อินเทอร์เน็ตถูก ๆ และหาซื้อ ซีดีไม่ได้จะได้ฟังบ้าง เว็บในเมืองไทยทำ on-line Stream ตอนนี้คงลำบาก เพราะผู้ใช้มีทางเลือกที่ดีกว่าคือเปิดทีวีและ วิทยุฟังเลย ค่าไฟก็ถูกกว่าคอมพิวเตอร์แถมไม่เสียค่าอินเทอร์เน็ต ประโยชน์คงมีเพื่อสร้าง "ภาพลักษณ์" ของบริษัท หรือลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศเท่านั้น

ส่งท้าย
ผู้อ่านคงพอได้แนวคิดในการออกแบบเว็บไซท์ให้ดูดีขึ้นนะ โดยสรุปหลักก็คือ "เราจะได้อย่างไร" และ "ผู้ใช้จะได้ อะไร" เราก็จะสรุปได้เอง ว่า เราจะได้เว็บไซท์ออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร โดยสิ่งที่พิจารณาอย่างแรกคือข้อมูลที่มี เป็นประการสำคัญ จากนั้นก็ค่อยคิดถึงวิธีการนำเสนอ อย่าคิดข้ามขั้นตอนหรือย่อขั้นตอนโดยเริ่มจากเทคโนโลยี มาก่อน เพราะสุดท้ายผลลัพธ์อาจจะผิดจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ตอนแรก


วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิธีสังเกต ธนบัตรปลอม




ธนาคารแห่งประเทศไทยเตือนประชาชนระมัดระวังธนบัตรชนิดราคา 1,000 บาทปลอม โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ ...ช่วงนี้ข่าวการแพร่ระบาดของ ธนบัตรปลอม หรือแบงค์ปลอมนั้นมีเยอะมากจริง ๆ ถึงขนาดที่ว่าบางร้านไม่ยอมรับธนบัตรใบละ 1,000 บาทเลยทีเดียววิธีสังเกต ธนบัตรปลอม


1. ลายน้ำ พระบรมสาทิสลักษณ์ มองเห็นได้ชัดเจน เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง และรูปลายไทยจะโปร่งแสงเป็นพิเศษ


2. แถบสีโลหะในเนื้อกระดาษ นำเนื้อกระดาษตามแนวตั้ง เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง จะเห็นตัวเลขและตัวอักษรโปร่งแสง


3. พิมพ์เส้นนูน พระบรมสาทิสลักษณ์ ตัวอักษรและตัวเลขแจ้งราคา เมื่อสัมผัสด้วยปลายนิ้วจะรู้สึกสะดุด


4. ตัวเลขแฝง ซึ่งอยู่ในลายไทย มองเห็นได้เมื่อยกธนบัตรเอียงเข้าหาแสงสว่าง โดยมองจากมุมล่างซ้ายเข้าหากึ่งกลางธนบัตร


5. ภาพซ้อนทับพิมพ์แยกส่วนไว้บนด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อยกส่องกับแสงจะมองเห็นภาพสวยงาม โดยแบงก์พันจะเป็นรูปดอกบัว แบงก์ 500 เป็นรูปดอกพุดตาล แบงก์ 100 เป็นตัวเลข 100 แบงก์ 50 เป็นตัวเลข 50 แบงก์ 20 เป็นตัวเลข 20


6. ตัวเลขจิ๋ว บรรจุในตัวเลขไทยด้านหน้า มองเห็นได้ชัดเจนด้วยแว่นขยาย


7. แทบฟอยล์ สีเงินมองเห็นเป็นหลายมิติ และสะท้อนแสงเมื่อพลิกไปมา


8. หมึกพิมพ์พิเศษ ตัวเลข 1000 จะมองเห็น ด้านบนสีทอง ด้านล่างสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างขึ้นจะเห็นเป็นสีเขียวทั้งหมด ส่วนแบงก์ 500 ตัวเลข 500 จะมองเห็นตัวเลขสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างจะมองเห็นเป็นสีม่วง นอกจากนี้ ยังมีวิธีนำบริเวณลอยนูนของแบงก์ เช่น คำว่ารัฐบาลไทย ถูกับกระดาษสีขาว ของจริงจะปรากฏสีให้เห็น


ทราบดังนี้แล้ว ก็อย่าลืมสังเกตธนบัตรที่อยู่ในมือให้ดี ๆ นะคะ และที่สำคัญถ้าพบเห็นการใช้ธนบัตรอย่างผิดปกติ เป็นต้นว่ามีการพกเงินสดมาในจำนวนมาก ๆ และตรวจพบว่าเป็นแบงค์ปลอมต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบด้วยนะคะ เพื่อที่ว่าจะได้ขจัดขบวนการปลอมแบงค์


วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Bang-Puu

เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนได้มีโอกาสพานักเรียนไปทัศนศึกษาที่เมืองโบราณมา ระหว่างทางได้แวะพักที่สถานที่ตากอากาศบางปู ขอบอกว่าร้อนมากๆๆๆๆๆ แต่ก็ยังดีที่มีอะไรดีอยู่บ้างเพราะว่านกนางนวลที่มาในวันนั้นพี่ๆแถวนั้นบอกว่าออกมาหาอาหารเยอะกว่าทุกวันมากๆ ก็ธรรมดารู้ว่าคนน่ารักอย่างเราจะไปก็ต้องออกมาดูว่ามั้ย 5555555+

แต่ที่ไม่มีรูปที่เมืองโบราณมาฝากเลย ก็เป็นเพราะว่า
1. เป็นครูโรงเรียนนี้ต้องเป็นผู้ถ่ายตลอดไม่มีเวลาเป็นผู้ถูกถ่ายเลยยยยยยยยยยย
2. ก็มีบางส่วนอยู่เหมือนกันที่ให้นักเรียนช่วยถ่ายให้ประมาณ 2 รูปเห็นจะได้แต่อยู่ในมือถืออะ ยังไม่ได้ลงเครื่อง อิอิ -*-

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Hello_Test (มารู้จักกันหน่อย)




ชื่อ นางสาวพัชราภรณ์ วัฒนา
-ปอจ้า-
ปัจจุบัน ครูคอมพิวเตอร์โรงเรียนวัดดอนทอง



เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม
ที่อยู่ปัจจุบัน 247/1ข. ถ.มหาจักรพรรดิ์
ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา



ไม่มีรายจาบอกแว้ว....


Test เฉยๆ 5555+